วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

แคมฟรอก (Camfrog)



แคมฟรอก (Camfrog) สามารถให้ผู้ใช้สามารถแลกเปลี่ยนภาพจากเว็บแคมและเสียงผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยโปรแกรมนี้สามารถใช้ให้มีการประชุมออนไลน์ได้หลายคนพร้อมกัน มีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด และการแสดงวีดีโอ หลายอย่างรวมถึงเรื่อง การท่องเที่ยว กีฬา ภาษา วัฒนธรรม เล่นเกมตอบปัญหาออนไลน์ แม้แต่เรื่องทางเพศ หรือการร่วมเพศออนไลน์ ในแคมฟรอก


ภาพหน้าต่างแคมฟรอก (Camfrog)

ซอฟต์แวร์

แคมฟรอกไคลเอนต์
แคมฟรอกไคลเอนต์เป็นซอฟต์แวร์ที่ให้ผู้ใช้ทั่วไปเชื่อมต่อเข้ากับผู้ใช้อื่นผ่านทางเซิร์ฟเวอร์ โดยผู้ใช้เมื่อดาวน์โหลดและลงทะเบียนการใช้งานสามารถใช้งานได้ทันที โดยการเลือกเซิร์ฟเวอร์ที่ต้องการเข้าชม โดยสามารถให้ผู้ใช้เชื่อมต่อผ่านทางเว็บแคมสำหรับแสดงผลหรือเข้าชมได้ และสามารถทำงานผ่านไฟร์วอลล์ หรือเราเตอร์ได้ แคมฟรอกไคลเอนต์แบ่งออกเป็นสองรุ่น โดยรุ่นที่ใช้งานได้ฟรีและรุ่นที่ที่ต้องเสียเงินใช้ ซึ่งมีความสามารถพิเศษเพิ่มเข้ามา เช่นสามารถดูวิดีโอขนาดใหญ่ หรือดูวิดีโอหลายหน้าจอพร้อมกันได้
แคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์
แคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์เป็นซอฟต์แวร์ให้ผู้ใช้ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ของตนเองให้ผู้ใช้คนอื่นได้เข้ามาใช้งาน โดยผู้ติดตั้งสามารถเป็นผู้ควบคุมระบบของเซิร์ฟเวอร์นั้น เช่น จำกัดผู้ใช้งาน ระบุจำนวนผู้ใช้งานได้ แคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์แบ่งออกเป็นสองรุ่นคือ รุ่นฟรีและรุ่นที่ต้องเสียเงิน
แคมฟรอกเว็บ
แคมฟรอกเว็บเป็นโปรแกรมติดตั้งบนเซิร์ฟเวอร์ให้ผู้ใช้สามารถประชุมออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ได้ โดยผู้ใช้งานสามารถใช้งานผ่านทางเว็บไซต์โดยตรงแตกต่างกับรุ่นแคมฟรอกเซิร์ฟเวอร์ที่ผู้ใช้จำเป็นต้องใช้งานผ่านทางซอฟต์แวร์ไคลเอนต์
แคมฟรอกทูลบาร์
แคมฟรอกทูลบาร์เป็นโปรแกรมเสริมสำหรับติดตั้งบนเว็บเบราว์เซอร์ สำหรับค้นหารายชื่อเซิร์ฟเวอร์หรือค้นหาผู้ใช้งานที่ออนไลน์อยู่ สำหรับติดตั้งกับไฟร์ฟอกซ์และอินเทอร์เน็ตเอกซ์พลอเรอร์




ตัวอย่างหน้าต่างห้อง


วิธีใช้งาน Camfrog
1. วิธีใช้เบื้องต้น
1. เปิดโปรแกรม Camfrog Vidio Chat ขึ้นมา
2. ถ้าเข้าครั้งแรกจะมีหน้าต่างนี้ขึ้นมาให้สมัครสมาชิกก่อน เพราะถ้าไม่ได้สมัครก็เล่นไม่ได้
3. จากนั้นตัวโปรแกรมจะทำการเข้าสู่ระบบ
2. ขั้นตอนการแอดเพื่อนเก็บไว้
4. ในกรณีที่อยากเพิ่มชื่อใครเก็บไว้ในลิสของเราก็แค่คลิ๊กขวาที่ชื่อคนที่ต้องการ แล้วกด Add to Contact List กด yes ไปเพื่อยืนยัน แค่นี้เขาก็จะมาอยู่ในลิส
3. ขั้นตอนการเปลี่ยนห้องแชท
5. ถ้าอยากเปลี่ยนห้องก็ให้ กดไปที่ Actions > Video Chat Rooms แล้วเลือกห้องครับ โดยสามารถกดที่ปุ่ม Next เพื่อไปหน้าอื่นเพิ่มได้อีกด้วยอย่าลืมกด Yes เพื่อให้เข้าห้องได้แบบสมบูรณ์
ข้อดี-ข้อเสียของแคมฟอก
ข้อดีของแคมฟอก
1.คนหูหนวกหรือคนพิการสามารถสนทนาภาษามือในการติดต่อปฏิสัมพันธ์กันผ่าน Camfrog ได้
2.เรียนวิชาช่างผ่าน Camfrog ก็ได้ เพราะมีห้องสอนซ่อมรถ หรือหัดเป็นนักดนตรี เขาก็มีห้องสอนเล่นกีต้าร์
3.คุณครูก็สามารถใช้ถ่ายทอดวิชาความรู้แก่ลูกศิษย์ด้วยรูปแบบการเรียนการสอนทางไกล ทั้งสองฝ่ายต่างได้สื่อสารกันแบบ Two Way Communication
4.ด้านบริษัทต่างๆ ก็สามารถใช้ Camfrog เป็น Video Conference สำหรับการประชุมผู้บริหาร พนักงาน ได้อย่างสะดวก ด้วยประสิทธิภาพสูงสุดที่สามารถเปิดได้ถึง 100 หน้าต่าง
5.นอกจากนี้ยังมีคนใช้ Camfrog เฝ้าบ้านด้วย โดยเปิดโปรแกรมทิ้งไว้ แล้วเอากล้องส่องไปที่ประตูห้อง ปิดหน้าจอ จากนั้นใครเข้ามาก็สามารถเห็นได้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน

ข้อเสียของแคมฟอก

เล่น Camfrog แล้ว เสียเงิน
เล่น Camfrog แล้ว เสียตัว
เล่น Camfrog แล้ว เสียใจ
เล่น Camfrog แล้ว เสียน้ำตา
เล่น Camfrog แล้ว เสียความรู้สึก
เล่น Camfrog แล้ว เสียแฟน
เล่น Camfrog แล้ว เสียงาน,การเรียน

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้เรื่อง Bluetooth

Bluetooth คืออะไร

Bluetooth เป็นเทคโนโลยีไร้สายแบบระยะสั้น ( Short-Range ) คือมีกำลังส่งต่ำ มีระยะทำการระหว่างอุปกรณ์ที่รองรับ Bluetooth ด้วยกัน เพียง 10 เมตร ซึ่งจะใช้สำหรับต่อเข้าเป็นระบบเน็ตเวิร์คขนาดเล็กๆ ที่อุปกรณ์แต่ละตัวอยู่ไม่ห่างกันมาก ที่เรียกว่าเป็น Personal Area Network ( PAN ) โดย Bluetooth นี้จะทำงานที่คลื่นความถี่ 2.4 GHz ซึ่งเป็นความถี่ที่เรียกว่า แถบความถี่ ISM ( Industrial, Scientific and Medical ) โดยความถี่นี้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ทำให้สามารถพัฒนา และมีการใช้งานกันแพร่หลาย ผู้พัฒนา สามารถพัฒนาอุปกรณ์ให้ใช้ความถี่นี้ โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ และยังติดตั้งได้ อย่างไม่ยุ่งยากอีกด้วย

Bluetooth ใช้เทคโนโลยีในการรับส่งสัญญาณที่เรียกว่า FHSS ( Frequency-Hopping Spread Spectrum ) ซึ่งจะทำการเปลี่ยนแปลงระดับของความถี่ในขณะที่กำลังส่งสัญญาณ ในอัตรา 1,600 ครั้ง ภายใน 1 วินาทีเท่านั้น ด้วยระดับความถี่ 79 ระดับ ที่แตกต่างกัน ระดับละ 1 MHz ดังนั้น คลื่นความถี่ที่ Bluetooth ใช้จึงอยู่ในช่วงตั้งแต่ 2.4 - 2.48 GHz และมีรูปแบบในการรับส่งข้อมูล 2 รูปแบบ คือ SCO ( Synchronous Connection Oriented ) ที่จะทำการสร้าง Ad Hoc Network ระหว่างอุปกรณ์ก่อน โดยที่อุปกรณ์ที่เป็นตัวหลัก จะควบคุมอุปกรณ์ที่เป็นตัวลูกได้มากที่สุดคราวละ 3 อุปกรณ์ และอีกแบบหนึ่งคือ ACL ( Asynchronous Connectionless ) ที่จำมีการรับส่งข้อมูลระหว่างอุปกรณ์กัน ก็ต่อเมื่อมีการร้องขอจากทางตัวหลัก

Bluetooth นี้ จะรองรับการรับส่งข้อมูลผ่านทางคลื่นวิทยุ โดยสามารถส่งได้ทั้งข้อมูลปกติ และข้อมูลเสียง ด้วยความเร็ว 1 Mbps ตามมาตรฐาน Bluetooth 1.x และในอนาคตอันใกล้ ก็จะขยับขยายไปเป็น Bluetooth 2.0 ซึ่งจะให้ความเร็วในการรับส่งที่เพิ่มขึ้นเป็น 10 Mbps และด้วยความที่ว่า เป็นเทคโนโลยีไร้สายแบบระยะสั้น ซึ่งใช้อุปกรณ์ภาครับ-ส่ง ( Chip transceiver ) ขนาดเล็ก และราคาไม่แพง ทำให้เหมาะกับการใช้งานกับโทรศัพท์มือถือ, เครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งแบบพกพา ( Notebook ) และแบบตั้งโต๊ะ ( Desktop ) รวมถึง เครื่องคอมพิวเตอร์มือถือ ที่เรียกว่า PDA ( Personal Digital Assistants ) จำพวก Palm หรือ PocketPC อีกด้วย

เทคโนโลยี Bluetooth นี้ เกิดจากความร่วมมือของกลุ่มบริษัทผู้นำด้านการสื่อสารโทรคมนาคม และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งปัจจุบัน ก็มีผู้สนับสนุนหลัก 9 บริษัทด้วยกัน ประกอบไปด้วย 3Com, Agere, Ericsson, IBM, Intel, Microsoft, Motorola, Nokia และ Toshiba โดยในปี ค.ศ. 2001 ที่ผ่านมา ก็มีผู้เข้าร่วมพัฒนาทั้งจากบริษัททางด้าน Semiconductor, บริษัททางด้านโทรคมนาคม, อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ และอื่นๆ อีกไม่ต่ำกว่า 200 บริษัท ซึ่งก็มีอุปกรณ์ที่รองรับเทคโนโลยีนี้เปิดตัวออกมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 2,000 รุ่น

เกร็ดความรู้ที่ 1 การปิดรหัสผ่าน
คุณสามารถระงับหน้าต่างถามรหัสผ่านได้ โดยการเปิด Password ใน Control panel และคลิ๊กบนปุ่ม Windows Password พิมพ์รหัสผ่านเก่าของคุณในพื้นที่ของรหัสผ่านเก่า แล้วกดแท็บเพื่อเลื่อนมาช่องรหัสผ่านใหม่แล้วยืนยันรหัสผ่านโดยไม่ต้องใส่ค่าใดๆ แล้วกด Enter 1 ครั้ง
เกร็ดความรู้ที่ 2 ยกเลิกโปรแกรมตอนบู๊ทเครื่อง
ทำได้โดย คลิ๊กที่ Start => Run ใส่คำว่า msconfig ในช่อง Open แล้วกดปุ่ม Ok จากนั้นให้เลือกไปที่หน้า Startup แล้วทำการยกเลิกรายการโปรแกรมซึ่งคุณคิดว่าไม่จำเป็นต้อง รัน แล้วคลิ๊ก Ok จากนั้นให้ Reboot จะเห็นว่าเครื่องจะบู๊ทเร็วขึ้นครับ
เกร็ดความรู้ที่ 3 ตรวจสอบว่า Os ที่ใช้เป็นรุ่นไหน
คลิ๊กขวาที่ ไอคอน My Computer เลือก Properties ที่แถบ General ตรงคำว่า System คุณจะพบหมายเลข บอกเวอร์ชั่นดังนี้
4.00.950 คือวินโดวส์ 95
4.00.950A คือวินโดวส์ 95 กับ Service Pack 1
4.00.950B คือวินโดวส์ 95 SR2.0-2.1
4.00.950C คือวินโดวส์ 95 SR2.5
4.10.1998 คือวินโดวส์ 98
4.90.3000 คือวินโดวส์ ME

วันจันทร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2553

CMS.LMS .LCMS.

CMS ; Content Management System
ความหมาย
ระบบบริหารจัดการข้อมูลเว็บไซต์ (Content Management System) หรือ CMS เป็นระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนา และบริหารจัดการเว็บไซต์ โดยที่ผู้พัฒนา และอัพเดตข้อมูลในระบบไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการพัฒนาเว็บไซต์ หรือเขียนโปรแกรมมาก่อน
ปัจจุบัน CMS ส่วนมากมีรูบแบบเป็น Web-Based Application ที่สามารถทำงานผ่าน Web Browser ได้สะดวกในการใช้งาน สามารถอัพเดตข้อมูลเว็บไซต์ของตนเองได้ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด และไม่จำเป็นต้องติดตั้งโปรแกรมไว้บนเครื่องลูกข่าย ต่างกับการใช้งานเครื่องมือที่ใช้ออกแบบเว็บไซต์ เช่น Adobe Dreamweaver ที่ต้องติดตั้งโปรแกรมไว้บนเครื่องที่จะใช้งานจึงแก้ไขเว็บไซต์ได้
CMS เป็นเว็บไซต์กึ่งสำเร็จรูปมีระบบบริหารจัดการข้อมูลด้านหลัง (Administrator) ที่ง่ายต่อการใช้งานและแก้ไขปรับแต่ง โดยผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านการเขียนโปรแกรม ทำให้สามารถสร้างเว็บไซต์ได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
ตัวอย่างCMS ; Content Management System


www.hi5.com

LMS ; Learning Management System
ความหมาย
ซอฟต์แวร์สำเร็จรูปขนาดใหญ่ซึ่งมีความสามารถในการจัดการและถ่ายทอดหรือส่งเนื้อหาและทรัพยากรการเรียนไปสู่ผู้เรียนได้ LMS ส่วนใหญ่ทำงานบนระบบเว็บไซต์ (Web-based) เพื่ออำนวยความสะดวกให้สามารถเข้ามาเรียนเนื้อหาและบริหารจัดการได้ทุกที่ทุกเวลา อย่างน้อย LMS ต้องมีความสามารถในการลงทะเบียนนักศึกษา การนำเสนอเนื้อหาการเรียน และการติดตามผู้เรียน จัดการสอบ และอนุญาตให้ผู้สอนจัดการรายวิชาได้ นอกจากนั้น LMS ที่มีประสิทธิภาพ จะมีความสามารถในการจัดการระดับสูง ได้แก่ การวิเคราะห์ผู้เรียน การวางแผนการเรียน การตรวจสอบผู้เรียน การสร้างห้องเรียนเสมือน การจัดการสร้างเนื้อหาบทเรียน จัดการเนื้อหาบทเรียน จัดกิจกรรมการเรียน การอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เรียนด้วยเครื่องมือต่าง ๆ
ตัวอย่างLMS ; Learning Management System


www.efrontlearning.net

LCMS : Learning Content Management System
ความหมาย
ใช้ในการสร้างระบบเรียนรู้แบบออนไลน์ (E-Learning) สามารถแยกผู้ใช้งานเป็น 3 ส่วน คือส่วนผู้ดูแลระบบ (Administrator) ส่วนอาจารย์ผู้สร้างเนื้อหาการเรียน (Content Developer) และส่วนผู้เรียน (Student) Tools ที่เป็น Open source หรือ Freeware และได้รับความนิยมในแวดวงการศึกษาเป็นอันดับต้นๆ
ตัวอย่าง


www.moodle.org

ความแตกต่าง
CMS ; Content Management System จะเป็นการจัดการระบบที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการพัฒนา และบริหารจัดการเว็บไซต์แบบง่ายๆ
LMS ; Learning Management System มีความสามารถในการจัดการและถ่ายทอดหรือส่งเนื้อหาและทรัพยากรการเรียนไปสู่ผู้เรียนได้
LCMS : Learning Content Management System ใช้ในการสร้างระบบเรียนรู้แบบออนไลน์

วันจันทร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2553

การแต่งภาพ

แนะนำการแต่งภาพง่ายๆ

เริ่มจากการเข้าไปที่เว็ป http://www.loonapix.com/



แล้วเลือกรูปแบบต่างๆที่เราชอบ



จากนั้นเราจะมาทำการเลือกรูปภาพที่จะนำมาแต่ง



จะได้ผลง่านที่ง่ายแต่สวยงามออกมา

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Virtual Classroom

Virtual Classroom
เป็นการเรียนการสอนที่ผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีการเชื่อมโยงผู้ให้เบริการเครือข่ายกับคอมพิวเตอร์ของผู้เรียนหลายคนเข้าไว้ด้วยกันผ่านทางระบบการสื่อสารและอินเทอร์เน็ต โดยกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนและสื่อ นำเสนอผ่านเว็บไซต์ ผู้เรียนก็จะเรียนโดยเข้าเว็ปไซต์ที่ตนสนใจ โดย Virtual Classroom จะจำลองการเรียนการสอนในห้องเรียนเสมือนจริงเป็นการ
เอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ที่ต้องเรียนที่ต้องทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยให้สามารถเรียนที่ไหน เมื่อไร ก็ได้ที่มีสมาะฺและเวลาที่พร้อม

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

Task 2

e-Learning คืออะไร
คำว่า e-Learning คือ การเรียน การสอนในลักษณะ หรือรูปแบบใดก็ได้ ซึ่งการถ่ายทอดเนื้อหานั้น กระทำผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีดีรอม เครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต เอ็กซทราเน็ต หรือ ทางสัญญาณโทรทัศน์ หรือ สัญญาณดาวเทียม (Satellite) ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งการเรียนลักษณะนี้ได้มีการนำเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในระยะหนึ่งแล้ว เช่น คอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยซีดีรอม, การเรียนการสอนบนเว็บ (Web-Based Learning), การเรียนออนไลน์ (On-line Learning) การเรียนทางไกลผ่านดาวเทียม หรือ การเรียนด้วยวีดีโอผ่านออนไลน์ เป็นต้น คำว่า e-Learning นั้นมีคำที่ใช้ได้ใกล้เคียงกันอยู่หลายคำเช่น Distance Learning (การเรียนทางไกล) Computer based training (การฝึกอบรมโดยอาศัยคอมพิวเตอร์ หรือเรียกย่อๆว่า CBT) online learning (การเรียนทางอินเตอร์เนต) เป็นต้น ดังนั้น สรุปได้ว่า ความหมายของ e-Learning คือ รูปแบบของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยอาศัยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสื่ออิเลคทรอนิกส์ในการถ่ายทอดเรื่องราว และเนื้อหา โดยสามารถมีสื่อในการนำเสนอบทเรียนได้ตั้งแต่ 1 สื่อขึ้นไป และการเรียนการสอนนั้นสามารถที่จะอยู่ในรูปของการสอนทางเดียว หรือการสอนแบบปฎิสัมพันธ์ได้ [http://www.thaiedunet.com/ten_content/what_elearn.html]


WBI (Web based instruction)
คือ รูปแบบหนึ่งของการศึกษาที่ใช้เทคโนโลยีเว็บเพจ หรือ เวิล์ดวายเว็บ (WWW) เป็นสื่อในการนำเรียนการสอนร่วมกันระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนในลักษณะของบทเรียนที่ประกอบด้วยเนื้อหา รูปภาพประกอบ เสียง และภาพเคลื่อนไหวคะ ผู้สอนและผู้เรียนสามารถใช้เว็บเพจในการอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น สืบค้น ตอบปัญหา ทำแบบฝึกหัด ข้อสอบ และกิจกรรมการเรียนการสอน ผ่านเครือข่ายทางอินเตอร์เน็ตได้จากจุดเชื่อมต่อเครือข่ายและการเชื่อมต่อระยะไกลผ่านโมเด็มโดยไม่จำกัดเวลาและสถานที่
Computer Assisted Instruction (CAI)
คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือโปรแกรมช่วยสอน คือสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนอันหนึ่ง CAI คล้ายกับสื่อการสอนอื่น ๆ เช่น วิดีโอช่วยสอน บัตรคำช่วยสอน โปสเตอร์ แต่คอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะดีกว่าตรงที่ตัวสื่อการสอน ซึ่งก็คือคอมพิวเตอร์นั้น สามารถโต้ตอบกับนักเรียนได้ ไม่ว่าจะเป็นการรับคำสั่งเพื่อมาปฏิบัติ ตอบคำถามหรือไม่เช่นนั้นคอมพิวเตอร์ก็จะเป็นฝ่ายป้อนคำถาม คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction) หมายถึง การประยุกต์นำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเรียนการสอน โดยมีการพัฒนาโปรแกรมขึ้นเพื่อนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การเสนอแบบติวเตอร์ (Tutorial) แบบจำลองสถานการณ์ (Simulations) หรือแบบการแก้ไขปัญหา (Problem Solving) เป็นต้น การเสนอเนื้อหาดังกล่าวเป็นการเสนอโดยตรงไปยังผู้เรียนผ่านทางจอภาพหรือแป้นพิมพ์ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม วัสดุทางการสอนคือโปรแกรมหรือ Courseware ซึ่งปกติจะถูกจัดเก็บไว้ในแผ่นดิสก์หรือหน่วยความจำของเครื่องพร้อมที่จะเรียกใช้ได้ตลอดเวลา การเรียนในลักษณะนี้ ในบางครั้งผู้เรียนจะต้องโต้ตอบ หรือตอบคำถามเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยการพิมพ์ การตอบคำถามจะถูกประเมินโดยคอมพิวเตอร์ และจะเสนอแนะขั้นตอนหรือระดับในการเรียนขั้นต่อ ๆ ไป กระบวนการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ (ศิริชัย สงวนแก้ว, 2534)คอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรื CAI คือ การนำคอมพิวเตอร์มาใช้ในการเรียนการสอนโดยใช้โปรแกรมการเรียน การเรียนการสอนที่ผ่านคอมพิวเตอร์ประเภทใดก็ตาม กล่าวได้ว่าเป็นคอมพิวเตอร์ช่วยสอนหรือ CAI มีคำที่ใช้ในความหมายเดียวกันกับ CAI ได้แก่ Computer-Assisted Learning (CAL) , Computer-aided Instruction (CaI) , Computer-aided Learning (CaL) เป็นต้น (Hannafin & Peck, 1988)คอมพิวเตอร์ช่วยสอน หรือบทเรียนซีเอไอ (Computer-Assisted Instruction; Computer-Aided Instruction : CAI) คือ การจัดโปรแกรมเพื่อการเรียนการสอนโดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นสื่อช่วยถ่ายโยงเนื้อหาความรู้ไปสู่ผู้เรียน และปัจจุบันได้มีการบัญญัติศัพท์ที่ใช้เรียกสื่อชนิดนี้ว่า“คอมพิวเตอร์ช่วยการสอน” จากความดังกล่าว สามารถสรุปความหมายของ “คอมพิวเตอร์ช่วยสอน” หรือ CAI คือ การนำคอมพิวเตอร์มาเป็นเครื่องมือสร้างให้เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อให้ผู้เรียนนำไปเรียนด้วยตนเองและเกิดการเรียนรู้ ในโปรแกรมประกอบไปด้วย เนื้อหาวิชา แบบฝึกหัด แบบทดสอบ ลักษณะของการนำเสนอ อาจมีทั้งตัวหนังสือ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว สีหรือเสียง เพื่อดึงดูดให้ผู้เรียนเกิดความสนใจมากยิ่งขึ้น รวมทั้งการแสดงผลการเรียนให้ทราบทันทีด้วยข้อมูลย้อนกลับ (Feedback) แก่ผู้เรียน และยังมีการจัดลำดับวิธีการสอนหรือกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละคน ทั้งนี้จะต้องมีการวางแผนการในการผลิตอย่างเป็นระบบในการนำเสนอเนื้อหาในรูปแบบที่แตกต่างกันคำภาษาอังกฤษที่ใช้เรียก คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ได้แก่ Computer Assisted Instruction (CAI), Computer Aided Instruction (CAI), Computer Assisted Learning (CAL), Computer Aided Learning (CAL), Computer Based Instruction (CBI), Computer Based Training (CBT), Computer Administered Education (CAE) , Computer Aided Teaching (CAT) แต่คำที่นิยมใช้ทั่วไปในปัจจุบันได้แก่ Computer Assisted Instruction หรือ CAI
[http://yalor.yru.ac.th/~sirichai/4123612/unit1/meaning-cai.html]


Computer Manage instruction (CMI)
การนำคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอนนั้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการที่ครูผู้สอนนำคอมพิวเตอร์เข้ามาเป็นเครื่องมือในการจัดทำสื่อ การเรียนการสอน แผนกวิชาการ นำคอมพิวเตอร์เข้ามาจัดตารางสอน การลงทะเบียนเรียน ระเบียนนักเรียน ทำบัตรประจำตัวนักเรียน การจัดตารางการเรียนการสอน เป็นต้น สำหรับในด้านการบริหารแล้ว ผู้บริหาร ก็สามารถที่จะใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บข้อมูล จัดทำงบประมาณของแต่ละปี พร้อมทั้งสร้างตาราง และ แผนภูมิเพื่อนำเสนอผลงานผ่านทางจอภาพต่อไป ตัวอย่างที่แสดงให้เห็นนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการใช้งานเท่านั้น
[http://winzstep-nukul.blogspot.com/]

m-Learning
m-Learning (mobile learning) คือ การจัดการเรียนการสอนหรือบทเรียนสำเร็จรูป (Instruction Package) ที่นำเสนอเนื้อหาและกิจกรรมการเรียนการสอนผ่านเทคโนโลยีไร้สาย (wireless telecommunication network) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต ผู้เรียนสามารถเรียนได้ทุกที่และทุกเวลา โดยไม่ต้องเชื่อมต่อโดยใช้สายสัญญาณ ผู้เรียนและผู้สอนใช้เครื่องมือสำคัญ คือ อุปกรณ์ประเภทเคลื่อนที่ได้โดยสะดวกและสามารถเชื่อมต่อเครือข่ายคอมพิวเตอร์โดยไม่ต้องใช้สายสัญญาณแบบเวลาจริง ได้แก่ Notebook Computer, Portable computer, Tablet PC, Cell Phones ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
สรุป การก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันนี้ได้อำนวยความสะดวกให้กับเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นด้านการสื่อสาร การเรียนการสอน โดยเฉพาะการเรียนการสอนผ่านระบบ M-learning ที่สะดวกสบายไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราก็สามารถติดตามข่าวสาร หรือเรียนรู้ได้อย่างไรขอบเขต ขอเพียงแคเรามี โทรศัพท์ มือ คอมพิวเตอร์โน้ตบุค และอินเตอร์เน็ท เท่านี้ก็ทำให้เราเรียนรู้ได้แล้ว[http://learners.in.th/blog/mlearning/310049]

Virtual class room
virtual = สิ่งเสมือน, คล้าย
classroom = ห้องเรียน
virtual classroom = ห้องเรียนเสมือน , ห้องเรียนจำลอง
คือ การใช้เทคโนโลยี สมัยใหม่ ทำให้มีห้องเรียนอยู่ได้ในทุกๆ ที่ คนที่นั่งเรียน เสมือนหนึ่งในนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนใดของโลก เวลาใด ก็สามารถเรียนได้ เป็นการใช้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เพื่อเอาชนะข้อจำกัดเรื่อง เวลา , ภูมิศาสตร์ , แหล่งความรู้หรือบุคคลากรที่มีความรู้ และเป็นการสร้างสรรค์โอกาสในการเรียนรู้ ทำให้อุปสรรคในการเรียนน้อยลง
การนำมาใช้ในเมืองไทยเป็นสิ่งที่สมควรอย่างยิ่งเพราะเป็นการใช้เทคโนโลยีนี้เพื่อสร้างบุคคลากรให้มีความรู้ความสามารถไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในประเทศ ประหยัดเวลา ประหยัดค่าใช้จ่าย บุคคลที่มีความรู้ความสามารถจะสามารถถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่เรียนในจำนวนมากๆ ทั่วทุกแห่งที่เทคโนโลยี ไปถึงได้
เท่าที่ได้ทราบ มหาวิทยาลัยรามคำแหงก็ใช้อยู่ครับ สามารถถ่ายทอดการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ จากส่วนกลางที่กรุงเทพฯไปยังวิทยาเขตต่างๆ ทั่วประเทศได้ในคราวเดียวกัน มีนักศึกษานั่งเรียนพร้อมๆ กันได้ นับหมื่น นับแสนคน ครับ โดยมีอาจารย์ผู้สอนเพียงคนเดียว อีกทั้งยังสามารถติดต่อสื่อสารได้ทั้งสองทาง คือ นักศึกษาที่นั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนเสมือนนี้ สามารถส่งคำถามเข้ามาที่ส่วนกลางเพื่อถามอาจารย์ผู้สอนได้ในทันที
ส่วนอีกที่หนึ่งก็คือ การเรียนการสอนทางไกลผ่านดาวเทียมไทยคม ที่ได้รับการสนับสนุนจาก ชินวัตรเทเลคอม ครับ หลักการก็คล้ายคลึงกันครับ
วิธีที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้เช่นเดียวกันก็คือ เรื่อง VDO conference หรือ การประชุมทางไกล ครับ ผู้เข้าประชุมจะนั่งอยู่มุมไหนของโลกก็สามารถพูดคุย โต้ตอบกันได้ทันที ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และอื่นๆ อีกมากมาย ครับ

ความเหมือนและความแตกต่าง WBI และ E-LEARNING
E-learning เป็นเสมือนวิวัฒนาการของ WBI
WBI ทำงานบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสามารถทำการสื่อสารภายใต้ระบบ Multi-user ได้อย่างไร้พรมแดน โดยผู้เรียนสามารถรับส่งข้อมูลการศึกษาทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronics Education Data) อย่างไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ และผู้เรียนและผู้สอนสามารถติดต่อสื่อสารถึงกันได้ และผู้สอนสามารถติดตามพฤติกรรมการเรียนตลอดจนผลการเรียนของผู้เรียนได้ และ สิ่งที่ทำให้ CAI ต่างจาก WBI คือ เรื่องการสื่อสาร
WBI สามารถทำการสื่อสารภายใต้ระบบ Multiuser ได้อย่างไร้พรมแดน โดยผู้เรียนสามารถติดต่อสื่อสารกับผู้เรียนด้วยกัน อาจารย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ ฐานข้อมูลความรู้ และยังสามารถรับส่งข้อมูลการศึกษาอิเล็คทรอนิค(Eletronic Education Data ) อย่างไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดสถานที่ ไม่มีพรมแดนกีดขวางภายใต้ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรืออาจเรียกว่าเป็น Virtual classroom เลยก็ได้ และนั้นก็คือการกระทำกิจกรรมใดๆ ภายในโรงเรียน ภายในห้องเรียน สามารถทำได้ทุกอย่างใน WBI ที่อยู่บนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จนกระทั่งคุณจบการศึกษาเลย


ส่วน WBI เป็นการเรียนทางไกลผ่านทางเว็บ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต หรือ เอ็กซ์ทราเน็ตก็ตาม


ส่วน E-learning หมายถึงการเรียนรู้ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์อินเทอร์เน็ต หรือ อินทราเน็ต เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง


สรุปความแตกต่างของ WBI และ E-LEARNING
ผู้เรียนจะได้เรียนตามความสามารถและความสนใจของตน โดยเนื้อหาของบทเรียนซึ่งประกอบด้วย ข้อความ รูปภาพ เสียง วิดีโอและมัลติมีเดียอื่นๆ จะถูกส่งไปยังผู้เรียนผ่าน Web Browser โดยผู้เรียน ผู้สอน และ เพื่อนร่วมชั้นเรียนทุกคน สามารถติดต่อ ปรึกษา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันได้เช่นเดียวกับการเรียนในชั้นเรียนปกติ โดยอาศัยเครื่องมือการติดต่อ สื่อสารที่ทันสมัย จึงเป็นการเรียนสำหรับทุกคน เรียนได้ทุกเวลา และ ทุกสถานที่
จะเห็นได้ชัดว่า WBI และ E-learning ต่างก็เป็นการผสมผสานระหว่าง web technology กับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการเรียนรู้ และแก้ปัญหาในเรื่องข้อจำกัดทางด้านสถานที่และเวลา (anywhere, anytime) ในการเรียน แต่เดิมการเรียนการสอนแบบ WBI มักจะเน้นเนื้อหาในลักษณะตัวหนังสือ (text-based) และภาพประกอบ หรือ วิดีทัศน์ที่ไม่ซับซ้อนเท่านั้น ดังนั้นความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง WBI กับ E-learning นั้น แทบจะไม่มีเลย แต่ E-learning เป็นเสมือนวิวัฒนาการของ WBI นั้นเอง [http://www.expert2you.com/view_question2.php?q_id=5500]

ความเหมือนและความแตกต่างของComputer Assisted Instruction (CAI) กับComputer Manage instruction (CMI)ความเหมือนของ Computer Assisted Instruction (CAI) กับComputer Manage instruction (CMI) คือ เป็นการเรียนที่สามารถนำสื่ออื่นๆมาประสมกับการเรียนการสอนได้มากขึ้นสามารถเข้าใจเนื้อหาได้ละเอียดความแตกต่างของ Computer Assisted Instruction (CAI) กับComputer Manage instruction (CMI) คือ CMI เป็นการออกแบบการเรียนการสอนมากกว่าการเรียนทั่วไป

ความเหมือนและความแตกต่างของWeb Base Instruction (WBI) กับComputer Assisted Instruction (CAI)คือ ขจัดอุปสรรคในการเรียนการสอนทำให้สะดวกสบายในการเรียนการสอน[http://winzstep-nukul.blogspot.com/]ความแตกต่างของ Web Base Instruction (WBI) กับComputer Assisted Instruction (CAI) คือ CAI จะเป็นการเพิ่มบทเรียนต่างๆเข้ามาเพื่อสร้างความน่าสนใจมากขึ้น

ความเหมือนและความแตกต่างของComputer Assisted Instruction (CAI) กับ Mobile Learning (M-Learning)
ความเหมือนของ Computer Assisted Instruction (CAI) กับ Mobile Learning (M-Learning) จะเป็นการเรียนการสอนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์เหมือนกันซึ่งสร้างความสะดวกสบายมากขึ้นความ
แตกต่างของ Computer Assisted Instruction (CAI) กับ Mobile Learning (M-Learning) คือ M-Learning เป็นการเรียนผ่านสื่อไร้สายซึ่งพัฒนามาจาก d-Learning